วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 9 การสืบค้นข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

การสืบค้นข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต




การสืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 
การสืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เนื่องจากอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นระบบขนาด ใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูลต่างๆมากมายที่จะให้เราได้ทำการ สืบค้นเพื่อนำมาใช้งาน ซึ่งข้อมูลนั้นได้มาจากการจัดทำด้วยโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ให้บริการผ่านจอคอมพิวเตอร์จากเครื่องหนึ่งไปสู่อีกเครื่องหนึ่ง ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาข้อมูลได้ด้วยตนเอง จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จุดใดๆ ก็ได้ จากการใช้โปรแกรมอ่านเอกสารในระบบอินเตอร์เน็ต หรือบราวเซอร์นั่นเอง 

 สิ่งจำเป็นในการสืบค้นหาข้อมูล 
1. ที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ต้องการค้น ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เราสามารถติดต่อได้กับคนทั่วโลกอย่างไม่มีขอบ เขต สามารถเข้าถึงระบบสารสนเทศต่าง ๆ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับก็มีอยู่มากมาย ซึ่งผู้ใช้ข้อมูลจำเป็นต้องเรียนรู้การเลือกข้อมูล ให้ได้ตรงกับความต้องการ ดังนั้น ผู้ใช้ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจึงจำเป็นต้องทราบที่อยู่ของผู้ให้ บริการข้อมูล นั่นก็คือ ทราบ Url หรือ Address ของผู้ให้บริการข้อมูลนั่นเอง 
2. รู้จักวิธีการค้นข้อมูล 
3. รู้จักวิธีการอ่านผลการสืบค้น หลัง จากที่ได้เริ่มต้นทำการพิมพ์คำที่ต้องการค้นหา หรือ เลือกรายการหมวดหมู่เมนูการค้น ผู้ค้นข้อมูลจะต้องติดตามผลการค้นจนกว่าจะได้ข้อมูลครบตามที่ต้องการ สำหรับ ผู้ให้บริการค้นข้อมูลก็จะต้องอำนวยความสะดวก ทั้งการจัดทำหน้าจอสำหรับการ สืบค้น และการจัดลำดับหัวข้อเรื่องให้กับผู้ใช้บริการด้วย 
4. รู้จักวิธีการจัดเก็บผลการสืบค้น 
5. รู้วิธีการเผยแพร่การสืบค้น 

วิธีการสืบค้นข้อมูล สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้ 
1. การค้นหาข้อมูลโดยการใช้คำค้นหา วิธีนี้เหมาะกับการหาข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงเนื้อหา โดยการพิมพ์คำหรือข้อความที่ต้องการค้นส่งไปในช่องสำหรับค้นหา 
2. การค้นหาข้อมูลจากรายการข้อมูลที่จัดทำเป็นหมวดหมู่ไว้แล้ว วิธีนี้เหมาะกับการค้นหาข้อมูลที่เป็นหมวดใหญ่ ๆ หรือการค้นหาแบบกว้าง ๆ ไม่เจา 

ประเภทการสืบค้นข้อมูล 
     เนื่องจากภายในอินเทอร์เน็ต มีข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้มีผู้ที่รวบรวมข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นหมวดหมู่ ที่จะง่ายต่อการค้นหา ซึ่งเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่นี้ คือ เว็บไซต์ค้นหาข้อมูล (Search Engines) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 

     Search Engines เป็นเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลที่ใช้โปรแกรมอัตโนมัติ (Robot) ในการค้นหา และรวบรวมข้อมูล ของเว็บไซต์ต่างๆ เว็บไซต์ประเภทนี้จะเหมาะสำหรับการค้นหา ข้อมูล แบบจำเพาะเจาะจง ตัวอย่างการค้นหาข้อมูล โดยใช้เว็บประเภท โดยใช้เว็บไซต์ ซึ่งทำได้โดยคลิกเมาส์เลือกชื่อของหมวดหมู่เว็บที่น่าสนใจ จากนั้นชื่อเว็บที่ต้องการก็จะปรากฏขึ้น

     Search Directories เป็นเว็บไซต์ที่ทำการค้นหาข้อมูล โดยมีการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลที่เหมาะสมแต่ก็มีข้อจำกัด คือ ปริมาณข้อมูลอาจจะไม่ครอบคลุมทุกเว็บไซต์ เว็บไซต์ข้อมูลประเภทนี้เหมาะสม กับการค้นหาข้อมูลที่เป็นหมวดใหญ่ ๆ 

ลักษณะการค้นหาข้อมูลของ Search โดยทั่วไป Search Engine แบ่งลักษณะรูปแบบการค้นหา เป็น 3 ลักษณะ คือ 

1. การค้นแบบนามานุกรม (Directory) หมาย ถึงการแจ้งแหล่งที่ตั้ง ซึ่งบรรจุเนื้อหาหรือเว็บไซต์ต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มใหญ่ ๆ และแต่ละกลุ่มจะแบ่งเป็นเรื่องย่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับหลักการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุด ซึ่งการจัดทำแบบนามานุกรมนี้มีข้อดีคือ ช่วยให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการ เนื่องจากนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระบบ และสามารถกำหนดค้นได้ง่ายในหัวข้อโดยเลือกจากรายการที่ทำไว้แล้ว 
      เว็บไซต์ที่มีการจัดเรียงข้อมูลไว้แบบนามานุกรม เช่น 
www.yahoo.com, www.lycos.com, www.sanook.com, www.siamguru.com เป็นต้น 

ตัวอย่าง การค้นแบบนามานุกรม ของ www.sanook.com รายการกลุ่มเรื่องแบ่งออกเป็น หมวดหมู่ใหญ่ 14 หมวดหมู่ เช่น กีฬา ท่องเที่ยว อินเทอร์เน็ต ฯลฯ การแบ่งกลุ่มเรื่องย่อยๆ ของแต่ละกลุ่มและแบ่งย่อย ลงเรื่อยๆจนกระทั่งระบุ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง 

 2. การค้นหาแบบดรรชนี (Index) หรือคำสำคัญ (Keywords) 
      เป็นการค้นหาข้อมูลในลักษณะคำหรือวลี ข้อความต่างๆ ที่อาจจะเป็นคำสำคัญ (Keyword) ในการค้นหาลักษณะนี้ตัวโปรแกรมหรือเว็บไซต์จะมีเครื่องมือช่วยในการทำดรรชนี ค้นที่เรียกว่า Spider หรือ Robot หรือ Crawler ทำหน้าที่เช็คตามหน้าเว็บต่างๆ ของเว็บไซต์ที่มีการเปิดดูอยู่ แล้วนำคำที่ค้นมาจัดทำเป็นดรรชนีค้นหาโดยอัตโนมัติ ซึ่งการค้นแบบนี้จะสามารถค้นหาเว็บเพจใหม่ๆและทันสมัยมากกว่าการค้นแบบ นามานุกรม แต่ทั้งนี้การสืบค้นแบบนี้จะต้องมีเทคนิควิธีการค้นเฉพาะด้านด้วย เช่น การ ใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic) หรือโอเปอเรเตอร์ (Operator) เป็นต้น โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร 

ตัวอย่าง การค้นหาแบบดรรชนี โดยใช้คำสำคัญ 

1. ระบุคำ เรื่องที่ต้องการค้นในเว็บไซต์ที่เป็น search engine เช่น ดาวอังคาร  
2. จะปรากฏจำนวนรายการข้อมูลที่ค้นพบ และโยงไปยังแหล่งข้อมูลที่ต้องการ 
3. การค้นหาแบบ Met search Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่8 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การติดต่อสื่อสาร

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) 

 สาระสำคัญ 

     ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารที่เกิดจากการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้วิธีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมีข้อดีแล้ว ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรศึกษาก่อน การใช้งาน เพื่อให้สามารถตัดสินใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง 

 ความสำคัญและความหมายของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
     ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่เกิดจากการเชื่อมต่อ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า อีเมล์ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า อิเล็กทรอนิกส์เมล์ (E-mail = Electronic Mail) หรือเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะการรับและส่งข้อมูลเหมือนกับการติดต่อสื่อสารประเภทจดหมาย คือ มีการพิมพ์ ข้อความผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แทนการเขียนข้อความลงในกระดาษ แล้วใช้การส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งแทนการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์ 

     ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบริษัทหรือสำนักงานโดยใช้โปรแกรมไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้าง ขึ้นเพื่อใช้เฉพาะภาย ในบริษัทหรือสำนักงาน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ได้ 

ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 

   ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นบริการอย่างหนึ่งของระบบเครือข่ายซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ต เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะมีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของตนเองด้วยเหตุนี้ผู้ใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จึงต้องมีที่อยู่ของตนเอง และรู้ที่อยู่ของบุคคลที่ต้องการติดต่อสื่อสาร 

เมื่อต้องการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้ต้องสมัครหรือลงทะเบียนกับเว็บไซต์ที่ให้บริการ เพื่อจะได้ที่อยู่สำหรับติดต่อทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า อีเมล์แอดเดรส (E-mail Address) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ ชื่อ แอท โดเมนเนม และรหัส 

•ชื่อหรือยูเซอร์เนม (User Name) คือ ชื่อของสมาชิกที่ใช้สมัครหรือลงทะเบียน อาจเป็นชื่อจริง ชื่อเล่น ชื่อบริษัท หรือชื่อสมมุติก็ได้ 
•แอท คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ มีลักษณะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเอที่มีวงกลมล้อมรอบ @ ซึ่งมาจาก แอทซาย (at sing) ในภาษาอังกฤษ 
• โดเมนเนม (Domain Name) คือ ที่อยู่หรือชื่อของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สมัครเป็นสมาชิกไว้ เพื่ออ้างเมล์เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ 
•รหัสคือข้อมูลบอกประเภทขององค์กรและประเทศของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น .com หมายถึง องค์การธุรกิจการค้า หรือ .co.th หมายถึง องค์การธุรกิจการค้าในประเทศไทย เป็นต้น ข้อดีและข้อจำกัดของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 




ข้อดีของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 

-ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มากกว่าการติดต่อสื่อสารด้วยประเภทอื่นๆ เนื่องจากสามารถรับหรือส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว 
-สามารถส่งข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลตัวอักษร ภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว 
-ไม่จำกัดเวลา ระยะทาง หรือสถานที่ในการติดต่อสื่อสาร ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาและสถานที่ใดก็ได้เพียงแต่ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งหรือรับข้อมูลนั้น 
-ไม่จำเป็นต้องเปิดหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาเพื่อรอรับข้อมูล เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับจะถูกเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์ เมื่อผู้ใช้ต้องการดูข้อมูลก็เพียงเชื่อมโยงไปยังเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้น 
-ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ในการติดต่อสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม 
-สามารถส่งเมล์ไปหาผู้รับได้หลายคนพร้อมๆ กัน ในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นข้อมูลเดียวกัน เช่น ข้อมูลแจ้งกำหนดการประชุม กฎระเบียบในการใช้ห้องคอมพิวเตอร์ ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลได้ทีละหลายๆ คนในครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลไปทีละคน 
-เก็บข้อมูลที่ส่งได้ตามความต้องการ โดยอาจเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นๆ หรือดาวน์โหลดมาไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง 
-ข้อมูลที่ได้มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากผู้ใช้จะมีรหัสส่วนตัวในการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
-ผู้รับสามารถนำข้อมูลที่ได้มาแก้ไขหรือนำข้อมูลนั้นไปใช้ต่อได้ ไม่ต้องพิมพ์ข้อมูลนั้นใหม่ โดยข้อมูลที่ได้รับทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถนำมาจัดทำในรูปแบบเอกสารสิ่งพิมพ์ 
-มีการแจ้งรายละเอียดและบันทึกข้อมูลได้ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น จำนวนข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลใดที่เปิดใช้งานแล้วหรือยัง ไม่ได้เปิดใช้งาน ใครเป็นผู้ส่ง และส่งข้อมูลมาในเวลาใด 



ข้อจำกัดของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 

-ผู้ใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของเว็บไซต์ที่สมัครเป็นสมาชิก เป็นต้น 
-ผู้ใช้ต้องมีอีเมล์แอดเดรส จึงจะสามารถใช้งานไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ 
-เครื่องคอมพิวเตอร์เสี่ยงกับการติดไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์จะมากับจดหมายหรือข้อมูลที่ส่งมาก เมื่อผู้ใช้เปิดอ่านจดหมายนั้นก็จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ 
-ข้อมูลที่ส่งไปอาจไม่ได้เปิดอ่านในทันที เนื่องจากข้อมูลที่ส่งไปจะไปอยู่ในที่ให้บริการจนกว่าผู้ใช้จะเปิดอ่านข้อมูลนั้น ซึ่งผู้ใช้หลายๆ คนอาจจะไม่ตรวจสอบว่ามีข้อมูลใหม่ในไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทุกวันเป็นผลให้ข้อมูลตกค้างและล่าช้า 
-ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลที่ส่งผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถรับและส่งได้จากทุกคนทั่วโลก ข้อมูลที่ได้รับจึงไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร 
-ไม่มีความแน่นอน ซึ่งขึ้นอยู่กับเมล์เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ หากเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นเกิดชำรุดเสียหาย หรือปิดให้บริการ ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นก็จะหายไปด้วย 
-เป็นช่องทางในการโจรกรรมข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดใช้ 
-มีข้อจำกัดในการรับและส่งข้อมูล ซึ่งแล้วแต่ข้อตกลงระหว่างผู้ใช้และเมล์เซิร์ฟเวอร์ เช่น ปริมาณหรือจำนวนของข้อมูลที่สามารถเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์ ระยะเวลาในการให้บริการในกรณีที่ผู้ใช้ขาดการติดต่อกับเมล์เซิร์ฟเวอร์ เป็นต้น


การติดต่อสื่อสารและการใช้งานจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) 

ทำความรู้จักกับ อีเมล์ (E-mail) และวิธีการใช้งานในเบื้องต้น 
 อีเมล์ (E-mail) หรือ Electronics Mail หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างกันประเภทหนึ่งคล้ายกับการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์ แต่อีเมล์นี้เป็นบริการที่สามารถทำการส่งข้อความ ไฟล์เอกสารของคอมพิวเตอร์ หรือรูปภาพต่างๆ ไปยังผู้รับปลายทาง (ที่ใช้บริการอีเมล์) ได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงทำให้เพิ่มความสะดวกสบายได้มากขึ้น 

ประเภทของอีเมล์ที่ให้บริการฟรี 

เว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมล์ที่ให้บริการฟรีมีอยู่มากมาย แต่ถ้าจะแยกประเภทของการใช้งาน สามารถแยกออกได้เป็น 2 แบบดังนี้ 

1. Web Base Mail เช่น อีเมล์ของ hotmail.com, yahoo.com, chaiyo.com หรือ email.in.th หากต้องการใช้งานอีเมล์เหล่านี้ จะต้องใช้งานโดยผ่านทางหน้าเว็บเพจเท่านั้น ข้อดีคือ สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเปิดอ่านอีเมล์นั้นก็ได้ โดยไม่ต้องทำการตั้งค่าต่างๆ ในเครื่องให้ยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์โดยเฉพาะอีกด้วย เพราะสามารถใช้โปรแกรมเบราเซอร์ที่มีอยู่ได้เลย ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม แต่ข้อเสียของ Web Base Mail คืออาจจะช้าและเสียเวลานานในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์ได้ถ้าความเร็วของอินเทอร์เน็ตไม่มากพอ 

 2. POP Mail เช่น yahoo.com ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอีเมล์ ที่มีบริการการอ่านอีเมล์แบบ POP Mail ด้วย ในกรณีที่เลือกใช้งานอีเมล์ที่เป็นแบบ POP Mail ผู้ใช้จะต้องทำการติดตั้งโปรแกรมสำหรับรับ-ส่งอีเมล์ลงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น โปรแกรม Microsoft Outlook เพื่อใช้สำหรับจัดการกับอีเมล์ แต่ต้องทำการตั้งค่าต่างๆ ของโปรแกรมที่ใช้รับ-ส่งอีเมล์ก่อนจึงจะใช้งานได้ แต่การใช้ POP Mail จะสะดวกกว่าการใช้งานแบบ Web Base Mail ในกรณีที่ต้องการอ่านอีเมล์ของเก่า เพราะเมื่อทำการเปิดโปรแกรมสำหรับการอ่านอีเมล์แล้ว โปรแกรมจะทำการดาวน์โหลดอีเมล์ทั้งหมดมาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน ทำให้เราสามารถอ่านอีเมล์ได้แม้ว่าจะไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้วก็ตาม 

คำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบการ รับ-ส่ง อีเมล์  

คำศัพท์แบบมาตรฐานทั่วๆ ไป ที่นิยมใช้ในการใช้งานอีเมล์ มีดังนี้ 
 - Inbox หมายถึงกล่องหรือที่สำหรับเก็บอีเมล์ ที่มีผู้ส่งเข้ามา
 - Outbox หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่กำลังจะส่งออกไปหาผู้อื่น 
- Sent Items หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่เราได้เคยส่งออกไปหาผู้อื่นแล้ว
 - Delete Items หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่ได้ทำการลบทิ้งจาก Inbox แต่ยังเก็บสำรองไว้อยู่
 - Drafts หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ สำหรับใช้เก็บอีเมล์ต่างๆ ชั่วคราว ซึ่งอาจจะมีหรือไม่ มีก็ได้ 
 - Compose / New Mail เป็นการส่งอีเมล์ใหม่ไปหาผู้อื่น 
- Forward เป็นการส่งต่ออีเมล์ที่ได้รับมานั้นไปหาผู้อื่น
 - Reply เป็นการตอบกลับอีเมล์ที่มีผู้ส่งมาถึงเรา
 - Reply All เป็นการตอบกลับอีเมล์ที่มีผู้ส่งมาถึงเราโดยจะตอบกลับไปยังทุกคนที่มีชื่ออยู่ใน อีเมล์ฉบับนั้น 
 - Subject หมายถึงหัวข้อของอีเมล์ที่เราจะเขียนหรือส่งออกไป - To หมายถึง ชื่อหรืออีเมล์ของผู้ที่เราต้องการส่งอีเมล์ไปหา 
 - CC หมายถึงการส่ง copy อีเมล์นั้นๆ ไปให้ผู้อื่นที่ต้องการด้วย
 - BCC หมายถึงการส่ง copy อีเมล์นั้นๆ ไปให้ผู้อื่นที่ต้องการ และไม่ให้ผู้รับคนอื่นมองเห็น ว่ามีการส่งไปให้ในช่อง BCC ด้วย 
 - Attach หมายถึงการแนบไฟล์เอกสาร หรือโปรแกรมต่าง ๆ ไปกับอีเมล์ฉบับนั้น
 - Address Book หมายถึงสมุดรายชื่อของอีเมล์ ที่เราสามารถเก็บไว้ เพื่อให้นำมาใช้งานได้ง่ายขึ้น

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 7 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)

บทที่ 7 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) 


ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) 
         ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารที่เกิดจากการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้วิธีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมีข้อดีแล้ว ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรศึกษาก่อน การใช้งาน เพื่อให้สามารถตัดสินใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง 

 ความสำคัญและความหมายของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
  ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่เกิดจากการเชื่อมต่อ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า อีเมล์ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า อิเล็กทรอนิกส์เมล์ (E-mail = Electronic Mail) หรือเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะการรับและส่งข้อมูลเหมือนกับการติดต่อสื่อสารประเภทจดหมาย คือ มีการพิมพ์ ข้อความผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แทนการเขียนข้อความลงในกระดาษ แล้วใช้การส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งแทนการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์ 

         ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบริษัทหรือสำนักงานโดยใช้โปรแกรมไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้าง ขึ้นเพื่อใช้เฉพาะภาย ในบริษัทหรือสำนักงาน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ได้ 

 ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
         ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นบริการอย่างหนึ่งของระบบเครือข่ายซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ต เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะมีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของตนเองด้วยเหตุนี้ผู้ใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จึงต้องมีที่อยู่ของตนเอง และรู้ที่อยู่ของบุคคลที่ต้องการติดต่อสื่อสาร เมื่อต้องการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้ต้องสมัครหรือลงทะเบียนกับเว็บไซต์ที่ให้บริการ เพื่อจะได้ที่อยู่สำหรับติดต่อทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า อีเมล์แอดเดรส (E-mail Address) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ ชื่อ แอท โดเมนเนม และรหัส 




•ชื่อหรือยูเซอร์เนม (User Name) คือ ชื่อของสมาชิกที่ใช้สมัครหรือลงทะเบียน อาจเป็นชื่อจริง ชื่อเล่น ชื่อบริษัท หรือชื่อสมมุติก็ได้
•แอท คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ มีลักษณะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเอที่มีวงกลมล้อมรอบ @ ซึ่งมาจาก แอทซาย (at sing) ในภาษาอังกฤษ 
• โดเมนเนม (Domain Name) คือ ที่อยู่หรือชื่อของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สมัครเป็นสมาชิกไว้ เพื่ออ้างเมล์เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ 
• รหัส คือ ข้อมูลบอกประเภทขององค์กรและประเทศของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น .com หมายถึง องค์การธุรกิจการค้า หรือ .co.th หมายถึง องค์การธุรกิจการค้าในประเทศไทย เป็นต้น 

ข้อดีและข้อจำกัดของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
ข้อดีของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
• ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มากกว่าการติดต่อสื่อสารด้วยประเภทอื่นๆ เนื่องจากสามารถรับหรือส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว 
•สามารถส่งข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลตัวอักษร ภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว 
• ไม่จำกัดเวลา ระยะทาง หรือสถานที่ในการติดต่อสื่อสาร ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาและสถานที่ใดก็ได้เพียงแต่ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งหรือรับข้อมูลนั้น 
• ไม่จำเป็นต้องเปิดหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาเพื่อรอรับข้อมูล เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับจะถูกเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์ เมื่อผู้ใช้ต้องการดูข้อมูลก็เพียงเชื่อมโยงไปยังเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้น 
• ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ในการติดต่อสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม • สามารถส่งเมล์ไปหาผู้รับได้หลายคนพร้อมๆ กัน ในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นข้อมูลเดียวกัน เช่น ข้อมูลแจ้งกำหนดการประชุม กฎระเบียบในการใช้ห้องคอมพิวเตอร์ ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลได้ทีละหลายๆ คนในครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลไปทีละคน 
• เก็บข้อมูลที่ส่งได้ตามความต้องการ โดยอาจเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นๆ หรือดาวน์โหลดมาไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง 
• ข้อมูลที่ได้มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากผู้ใช้จะมีรหัสส่วนตัวในการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 
• ผู้รับสามารถนำข้อมูลที่ได้มาแก้ไขหรือนำข้อมูลนั้นไปใช้ต่อได้ ไม่ต้องพิมพ์ข้อมูลนั้นใหม่ โดยข้อมูลที่ได้รับทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถนำมาจัดทำในรูปแบบเอกสารสิ่งพิมพ ์ 
• มีการแจ้งรายละเอียดและบันทึกข้อมูลได้ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น จำนวนข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลใดที่เปิดใช้งานแล้วหรือยัง ไม่ได้เปิดใช้งาน ใครเป็นผู้ส่ง และส่งข้อมูลมาในเวลาใด



การสื่อสารในเวลาจริง 
         เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่สามารถโต้ตอบกลับได้ทันทีผ่านเครือข่ายการสื่อสาร สามารถส่งเป็นข้อความภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ไปยังผู้รับ ในการสื่อสารนี้ผู้ใช้จะต้องเช้าใช้ระบบในเวลาเดียวกันและข้อความจะถูกส่งจากผู้ใช้คนหนึ่งไปยังผู้ใช้ทุกคนในกลุ่มได้ ตัวอย่างการสื่อสารในเวลาจริง
เช่น การแชท ห้องคุย และวอยซ์โอเวอร์ไอพี 

 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) 
         พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นทศวรรษที่ 1970 โดยเริ่มจากการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงาย และในช่วงเริ่มต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น บริษัทเล็กๆ มีจำนวนไม่มากนัก ต่อมาเมื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI) ได้แพร่หลายขึ้น ประกอบกับคอมพิวเตอร์พีซีได้ม ีการขยายเพิ่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตและเว็บ ทำให้หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ได้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ในปัจจุบันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมธุรกรรมหลายประเภท เช่น การโฆษณา การซื้อขายสินค้า การซื้อหุ้น การทำงาน การประมูล และการให้บริการลูกค้า